ประกันรถยนต์ น้ำท่วม ประกันคุ้มครองหรือไม่ ต้องเตรียมตัวในช่วงหน้าฝน อย่างไร

ประกันรถยนต์ น้ำท่วม

ประกันภัยดีดี.com

ประกันรถยนต์ น้ำท่วม ประกันคุ้มครองหรือไม่ ต้องเตรียมตัวในช่วงหน้าฝน อย่างไร

หากคุณกำลังมองหา ประกันรถยนต์ น้ำท่วม  วันนี้ทาง ประกันภัยดีดี ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประกันภัยรถยนต์ คุ้มครอง น้ำ ท่วม มาให้เพื่อเตรียมตัวรับ ในช่วงหน้าฝน นี้  เพราะเป็นช่วงมรสุม มีพายุเข้า ฝนตกหนักทำให้มีน้ำท่วมขัง ในบางพื้นที่ และกรณีรถที่จอดทิ้งไว้ใต้ดินตามคอนโด รถจมน้ำ ย้ายรถไม่ทัน ทำให้เสียหายมาก สร้างปัญหาให้กับเจ้าของรถยนต์อีกมากมาย หากใครที่ทำประกันภาคสมัครใจเอาไว้ก็สบายใจได้เลยว่าได้รับการชดเชยเมื่อเกิดน้ำท่วมแน่นอน แต่จะเป็นประกันแบบไหนที่ให้ความคุ้มครองเมื่อน้ำท่วม ตามไปดูกัน

สารบัญ

ประกันที่ให้ความคุ้มครอง ประกันรถยนต์ น้ำท่วม เมื่อเกิดความเสียหายพิจารณาอย่างไรบ้าง

ประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองน้ำท่วม

  • หากใครที่ทำประกันชั้น 1 รถน้ำท่วมเคลมประกันชั้น 1 ก็สบายใจได้เลยว่าได้รับความคุ้มครองเมื่อน้ำท่วมรถยนต์อย่างแน่นอน เพราะประกันชั้น 1 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด (เบี้ยประกันจะสูง ตามแบบประกัน)
  • ประกันประเภท 5 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า ประกันชั้น 2 พลัส หรือประกันชั้น 3 พลัส นั่นเอง โดยประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้จะให้ความคุ้มครองน้ำท่วมเฉพาะบางแพ็คเกจเท่านั้น หากท่านอยากได้ความคุ้มครองน้ำท่วมเมื่อทำประกันภัย ขอแนะนำว่าให้แจ้งพนักงานขาย หรือสอบถามพนักงานขายว่าประกันภัยรถที่ท่านกำลังสนใจมีความคุ้มครองน้ำท่วมหรือไม่? ส่วนประกันชั้น 3 ธรรมดาจะไม่มีความคุ้มครองน้ำท่วม

บริษัทประกันจะจ่ายค่าความเสียหายอย่างไร เมื่อน้ำท่วมรถยนต์

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของท่าน บริษัทประกันภัยจะแบ่งความเสียหายออกเป็น 2 ส่วน คือ

  • กรณีรถยนต์เสียหายอย่างสิ้นเชิง (Total Loss) คือ ส่วนใหญ่บริษัทประกันภัย จะประเมินมูลค่าความเสียหายที่ 70% ของมูลค่ารถคันนั้น ซึ่งหากพิจารณาจากความเสียหาย ในกรณีนี้คือ รถจมน้ำท่วมมิดคัน หรือ ท่วมเกินช่วงคอนโซลหน้า ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งห้องโดยสาร
    หากบริษัทประกันภัยพิจารณาแล้วว่า รถยนต์คันดังกล่าว ไม่คุ้มที่จะซ่อมให้กลับมาสภาพเดิมได้ ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์ ก็จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ตามทุนประกันภัยที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเจ้าของรถหรือผู้รับผลประโยชน์ ต้องโอนกรรมสิทธิ์ (คืนซากรถ) ให้กับบริษัทประกันภัย และกรมธรรม์ฉบับดังกล่าวก็ถือเป็นอันสิ้นสุดความคุ้มครองไป
  • กรณีรถยนต์เสียหายบางส่วน (Partial Loss) คือ รถยนต์ไม่เสียหายมากนัก สามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้ตามเดิม บริษัทประกันภัยก็จะพิจารณาให้เป็นลักษณะความเสียหายบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของบริษัทประกันภัยด้วย ซึ่งมีรายละเอียดตามนี้

ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 15 รายการ เช่น ตรวจสอบแบ็ตเตอรี่ (ถอดขั้ว/ตรวจสอบน้ำกลั่น/ไฟ-ชาร์ท) ทำความสะอาดตัวรถ ล้าง-อัด-ฉีด ขัดสี ถอดเบาะนั่ง หน้า-หลัง ถอดคอนโซลกลาง (คันเกียร์) ถอดพรมในเก๋ง-ซักล้าง-ตาก-อบแห้ง ถอดคันเร่ง (รถที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าและเซ็นเซอร์)

ถอดลูกยางอุดรูพื้นรถและทำความสะอาด ล้างทำความสะอาดห้องเครื่อง-เป่าแห้ง ตรวจสอบทำความสะอาดระบบเบรก 4 ล้อ/ผ้าเบรก ทำความสะอาดสายไฟ-ปลั๊กไฟด้วยน้ำยาเคมีภัณฑ์ ตรวจสอบชุดท่อพักไอเสีย (แคทธาเรติค)

ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000 -20,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 26 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก 15 รายการในระดับ A คือ การถ่ายน้ำมันเครื่อง-เกียร์-เฟืองท้าย กรองน้ำมันเครื่อง-กรองอากาศ-กรองเบนซิน-กรองโซล่า ตรวจระบบจุดระเบิด หัวเทียน จานจ่าย หัวฉีด ตรวจสอบชุดเพลาขับ

ถอดทำความสะอาดแผงประตูทั้ง 4 บาน ตรวจชุดสวิทซ์สตาร์ท-กล่องควบคุมไฟ- กล่องฟิวส์ ถอดทำความสะอาดไล่ความชื้นระบบเข็มขัดนิรภัย ถอดทำความสะอาดชุดมอเตอร์ยกกระจกไฟฟ้า ตรวจสอบทำความสะอาดเบาะ ถอดทำความสะอาด (ไดสตาร์ทและไดชาร์จ) เพื่อไล่ความชื้น

ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 39 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A และ B คือ ตรวจสอบชุดอีโมไรท์เซอร์/ระบบ GPS (ที่ติดมากับรุ่นรถ) ตรวจสอบไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ ท่อไอดี ห้องเผาไหม้ ตรวจสอบลูกปืนไดชาร์ท ลูกรอก ตรวจสอบทำความสะอาดระบบไฟส่องสว่าง (ไฟหน้า-ท้าย-เลี้ยว) ตรวจเช็คระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า

ถอดตรวจเช็คตู้แอร์ มอเตอร์ โบวเวอร์ เซ็นเซอร์ ถอดหน้าปัดเรือนไมล์ เกจ์ ถอดตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและสายไฟขั้วต่างๆ ตรวจเช็คระบบเครื่องเสียง-วิทยุ-แอมป์-ลำโพง ตรวจเช็คระบบเบรก (ABS) ตรวจชุดหม้อลมเบรก/ แม่ปั้มบน-ล่าง ตรวจสอบลูกปืนล้อ-ลูกหมาก-ลูกยางต่างๆ ผ้าหลังคา/แมกกะไลท์

ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาท ขึ้นไป มีรายการที่ต้องดำเนินการ 40 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A – C มา 1 รายการ คือ ทำสี (กรณีสีรถได้รับความเสียหาย) ซึ่งในกรณีนี้ทางบริษัทผู้รับประกันภัยอาจพิจารณาคืนทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยก็ได้

ระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน ซึ่งในกรณีนี้ บริษัทผู้รับประกันภัยจะคืนทุนประกันภัย ให้กับผู้รับประกันภัยสถานเดียว

โดยที่บริษัทประกันภัย จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าทำความสะอาดภายในรถ ซักเบาะ พรม ขัดสี ทำความสะอาดต่างๆ ซึ่งคุณสามารถนำหลักฐานไปเคลมประกันภัยได้เช่นกัน

และเมื่อรถซ่อมเสร็จนำกลับมาใช้ ถ้าพบปัญหาจากระบบต่างๆ ของตัวรถ ที่เป็นสาเหตุเกิดจากตอนถูกน้ำท่วม ก็สามารถแจ้งบริษัทประกันภัยได้ทันที เพื่อเคลมความเสียหายต่อเนื่อง

ประกันภัย รถยนต์ คุ้มครอง น้ำ ท่วม หากท่านใดอ่านแล้วยังมีข้อสงสัย หรือมีปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรม ในการเคลมประกันภัยจากบริษัทประกันภัย ก็สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186

ประกันรถยนต์ น้ำท่วม

น้ำท่วมรถ  แบบไหนประกันรับเคลม  ประกันรถยนต์ น้ำท่วม ประกันภัยดีดีมีคำตอบ

ตอนนี้หลายพื้นที่ยังคงมีฝนตกหนักน้ำท่วมขัง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเดินทางสัญจรทำให้เกิดความยากลำบาก และแน่นอน! ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับผู้ใช้รถในสภาวะแบบนี้ ก็คือ น้ำท่วมรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนกังวลใจ ประกันภัย รถยนต์ คุ้มครอง น้ำ ท่วม  แต่เมื่อเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหาวิธีรับมือ มาดูกันว่า น้ำท่วมรถจะเคลมประกันยังไง?

น้ำท่วมรถแบบไหนประกันจะรับเคลม ?

ต้องบอกเลยว่า ประกันภัยมีเงื่อนไขในการเคลมอยู่ ไม่ใช่ว่าประกันจะรับเคลมทั้งหมด ไปดูเงื่อนไขที่ว่ากันดีกว่าครับ

 

กรณีที่ประกันภัยจ่าย ค่าสินไหมทดแทน

หากเกิดจากภัยธรรมชาติ เช่นจอดรถอยู่หน้าบ้านแต่ฝนตกลงอย่างหนักในช่วงกลางคืนจนน้ำท่วมเข้ารถเสียหาย หรือ รถติดอยู่บนถนนโดยไม่สามารถขยับไปไหนได้ขณะที่มีฝนตกหนักจนน้ำท่วมเข้ามาในรถจนได้รับความเสียหาย ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยก็สามารถเคลมประกันภัยได้เช่นกัน

 

กรณีที่ประกันภัยไม่จ่าย

เจ้าของรถประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือจงใจทำให้รถตกอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วม เช่น ขับรถไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการทำให้รถเกิดความเสียหายจากเหตุน้ำท่วม แม้จะมีป้ายเตือน หรือมีประกาศเตือนล่วงหน้าแล้วก็ตาม หรือ สตาร์ทรถเมื่อรถอยู่ในสภาพที่ถูกน้ำท่วมไปแล้ว บริษัทประกันภัยอาจพิจารณาว่าผู้เอาประกันเจตนาสตาร์ทรถในขณะที่อาจทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายได้

 

         ขั้นตอนที่ 1 ดูที่กรมธรรม์ก่อน เงื่อนไขกรมธรรม์ของประกันที่เราทำครอบคลุมว่า คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติหรือเปล่า?

  • ประกันชั้น 1 คุ้มครองแน่นอน ประกันรถยนต์ ชั้น 1 คุ้มครอง น้ำท่วม 
  • ประกันชั้น 2+,3+ (ประกัน 2+ คุ้มครอง น้ำท่วม ไหม คุ้มครองก็ต่อเมื่อซื้อเพิ่มเติมให้ครอบคลุมภัยธรรมชาติ)
  • ประกันชั้น 3 ไม่คุ้มครองกรณีนี้

          ขั้นตอนที่ 2 เตรียมรูปหลักฐานความเสียหาย ทั้งขณะน้ำท่วมรถ และหลังน้ำท่วม มีร่องรอยความเสียหายอะไรบ้าง พร้อมจดบันทึกสถานที่เกิดเหตุน้ำท่วม

          ขั้นตอนที่ 3 โทรแจ้งบริษัทประกัน เพื่อนัดเวลาตรวจสอบความเสียหายรถ

เพื่อความอุ่นใจในทุกสถานการณ์ มีประกันไว้ เพิ่มความสบายใจไร้กังวล และสะดวกรวดเร็วที่สุด

เอกสารที่ต้องเตรียมเคลมประกัน รถถูกน้ำท่วม

  • เอกสารเกี่ยวกับตัวรถและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
  • ใบขับขี่
  • สำเนาบัตรประชาชน
  • ภาพถ่ายขณะเกิดน้ำท่วม เคลมประกันน้ำท่วม หรือหลักฐานในที่เกิดเหตุ โดยถ่ายให้เห็นทะเบียนรถ (กรณีที่ไม่ได้ท่วมมิดคัน) 
  • กรณีไม่มีหลักฐาน ให้บันทึกข้อมูลอย่างละเอียดที่สุด เช่น ปริมาณน้ำท่วมสูง วันและเวลาเกิดเหตุ หรือ ลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันประกอบ

ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ เมื่อรถน้ำท่วม

  • ติดต่อบริษัทประกันตลอด 24 ช.ม.
  • เจ้าหน้าที่บริษัทประกัน จะเข้ามาตรวจสอบและบันทึกความเสียหายที่เกิดขึ้น
  • เลือกอู่/ศูนย์ที่ต้องการซ่อม เพื่อประเมินราคา
  • บริษัทประกันพิจารณา อนุมัติการซ่อม
  • นัดหมายให้ทางอู่/ศูนย์ประเมินราคา
  • เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติ ก็สามารถนำรถไปส่งที่อู่หรือศูนย์ได้เลย

สิ่งที่ต้องรู้ รถจมน้ำจากน้ำท่วม ต้องทำอย่างไรบ้าง?

  • ห้ามสตาร์ทรถหรือบิดกุญแจไปที่ ON เด็ดขาด นอกจากประกันจะไม่รับเคลมแล้ว ยิ่งทำให้ห้องเครื่องเสียหายด้วย
  • ถอดแบตเตอร์รี่ออกในทันที เพื่อตัดระบบจ่ายไฟ 
  • ตรวจสอบอุปกรณ์อื่นๆ เช่น พัดลมระบายความร้อน
  • นำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมด เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรค น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำมันเฟืองท้าย น้ำหล่อเย็น เป็นต้น
  • ระบบเกียร์ ระบบรองรับ ช่วงล่าง ควรให้ช่างอัดจาระบีที่ลูกหมากใหม่ เช็กระบบเบรก โดยเฉพาะรถระบบเบรกแบบดุม น้ำอาจเข้าได้ ต้องถอดออกมาทำความสะอาด

ข้อควรรู้ ประกันรถยนต์ น้ำท่วม  ก่อนตัดสินใจ จะเลือกซื้อรถเก่า รถมือสองซื้อประกันภัยแบบไหนดี ต่างกันอย่างไร

รถเก่า รถมือสอง ซื้อประกันภัยรถยนต์แบบไหนดี

หากใครที่กำลังมองหารถเพื่อซื้อมาขับใช้งาน รถมือสอง ถือเป็นตัวเลือกที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสามารถจำกัดงบประมาณได้ว่าอยากได้รถประเภทไหน รุ่นอะไร มีลักษณะการใช้งาน ประมาณไหน และมีงบประมาณเท่าไรในการซื้อ ประกันชั้น 1 น้ำท่วม pantip แต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อนั้น สิ่งสำคัญที่ควรทำก็คือการตรวจสอบประวัติของรถอย่างละเอียด ความสมบูรณ์ของรถส่วนต่างๆ ว่า พร้อมใช้งานหรือไม่ แค่นี้เราก็จะได้รถที่คุ้มค่า คุ้มราคาช่วยประหยัดได้มาก เมื่อเราได้รถมาแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือการทำประกันรถยนต์ เราคงจะเกิดคำถาม แล้วรถยนต์มือสองควรทำประกันรถยนต์ แบบไหนดี? งั้นเราลองมาดูกันเลย

ประกันรถยนต์ที่เหมาะกับ รถเก่า รถมือสอง

สำหรับผู้ที่มีรถยนต์คู่ใจที่ขับมาเป็นระยะเวลานานแล้ว สภาพรถเริ่มเก่าไม่เหมือนออกมาใหม่ สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้สำหรับรถเรา รวมถึงรถมือสอง ก็คือการทำประกันรถ ซึ่งการเลือกซื้อประกันรถยนต์ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพรถและการใช้งาน ซึ่งแบ่งสภาพรถไว้ 3 แบบ ดังนี้

1. รถมีสภาพค่อนข้างใหม่มาก (อายุรถไม่เกิน5ปี)

ด้วยสภาพรถที่ใหม่และผ่านการใช้งานน้อยนั้น ถ้าหากเรามีงบประมาณมากหน่อย ขอแนะนำประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ไปเลย จะช่วยคุ้มครองครอบคลุมรถมือสองของเราทุกกรณีมากกว่าประกันประเภทอื่น รับผิดชอบทั้งผู้เอาประกันและคู่กรณี แม้เป็นอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น เฉี่ยวเสา ชนกำแพง ไฟไหม้จากห้องเครื่องหรือแม้แต่การถูกโจรกรรมชิ้นส่วนบางส่วน หรือถูกโจรกรรมทั้งคัน ก็สามารถเคลมได้ อีกทั้งไม่ต้องกลัวเรื่องน้ำท่วม ไฟไหม้ หรือถูกโจรกรรม ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะคลอบคลุมทุกกรณี 

2. รถมีสภาพไม่ใหม่มาก (อายุรถช่วง 6-10 ปี)

รถยนต์ที่ผ่านการใช้งานมาได้สักระยะเวลาหนึ่ง สภาพไม่ได้ใหม่มาก มิได้กังวลเรื่องของความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยที่ไม่มีคู่กรณี  แนะนำ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 + เพราะให้ความคุ้มครองคล้ายกับประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ในส่วนของเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 2+ นั้นมีเบี้ยประกันที่ไม่ได้แพงมาก เหมาะสมกับคนที่เชี่ยวชาญในการขับรถและไม่ค่อยได้เอารถออกไปขับมากนัก ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ต่างจากประกันรถยนต์ชั้น 1 เพียงเมื่อเกิดอุบัติเหตุต้องระบุคู่กรณีได้  แต่ถ้าชนสิ่งของ เช่น กระถางต้นไม้ เสาไฟ จะไม่ได้รับความคุ้มครอง แต่ยังคลอบคลุมกรณีไฟไหม้ ถูกโจรกรรม หรือน้ำท่วมและภัยธรรมชาติ แต่สำหรับรถไม่กิน 7 ปี เราก็อาจจะเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ได้ หากมีงบประมาณพอเพราะจะคลอบคลุมทุกกรณี 

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ 

เบี้ยประกันภัยแบบประหยัดกว่าประกันชั้น 1 แต่ให้ให้ความคุ้มครองภัยหลัก ได้แก่ ความเสียหายต่อตัวรถยนต์จากสาเหตุสูญหาย ไฟไหม้ และกรณีเสียหายที่มีคู่กรณี  ซึ่งจะมีบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา จำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้นที่ 100,000 บาท รวมทั้งให้ความคุ้มครองผู้โดยสาร ผู้ขับขี่และบุคคลภายนอกตามจำนวนเงินเอาประกันภัย สูงถึง 500,000 บาทต่อคน สามารถทำได้โดยไม่ต้องตรวจสภาพรถก่อนทำประกัน จำกัดอายุรถยนต์ ไม่เกิน 20 ปี อีกทั้งยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง มีอู่ซ่อมที่ได้มาตรฐาน A+ มากกว่า 100 แห่ง และอู่มาตรฐานอื่นๆ รวมทั้งอู่ห้างในสัญญาอีกมากกว่า 700 แห่ง ทั่วประเทศไทย มีบริการซ่อมสีรถแบบเร่งด่วน เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง คุ้มค่าสุดๆ ไปเลย

ความคุ้มครองและผลประโยชน์ที่ได้รับ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

  • คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัย ตามแผนประกันภัย และทุนประกันภัยที่เลือก สำหรับความเสียหายดังต่อไปนี้
    – ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยกรณีชนกับ ยานพาหนะทางบก
    – รถยนต์ที่เอาประกันภัยสูญหาย
    – รถยนต์ที่เอาประกันภัยไฟไหม้
  • คุ้มครองผู้ขับขี่และผู้โดยสารภายในรถที่เอาประกันภัย สำหรับ
    – อุบัติเหตุส่วนบุคคล
    – ค่ารักษาพยาบาล
    – การประกันตัวผู้ขับขี่
  • ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
    – ความรับผิดต่อชีวิต
    – ความรับผิดต่อทรัพย์สิน

3. รถมีสภาพค่อนข้างเก่า (อายุรถเกิน 10 ปีขึ้นไป)

สำหรับใครที่เลือกซื้อรถยนต์ที่มีสภาพค่อนข้างเก่านั้น แนะนำเลือกซื้อ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น3+ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องรถชน รถหาย หรือรถไฟไหม้มากนัก หากจะเลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก็อาจจะเกินไปสำหรับงบประมาณ ประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะครอบคลุมเฉพาะอุบัติเหตุรถชนกันแบบมีคู่กรณีเท่านั้นไม่ว่าเราจะถูกหรือผิดก็ตาม ประกันจะชดเชยค่าเสียหายให้ แม้ว่าจะเป็นแค่ประกันรถยนต์ชั้น 3+ แต่ก็ให้ความคุ้มครองที่ไม่แพ้ประกันรถยนต์ชั้น 2+ แถมเบี้ยประกันก็ถูกกว่ามากๆ ซึ่งเรามีไว้ก็อุ่นใจกว่าไม่มีเลย  และยังคงแบ่งเบาภาระความรับผิดตามกฎหมาย ที่ท่านต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายของตัวรถคู่กรณี และความบาดเจ็บของบุคคลในรถยนต์คู่กรณี

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

เป็นแผนประกันรถยนต์แบบเบี้ยประกันภัยชนิดประหยัดมาก แต่ยังคงได้รับความคุ้มครองตัวรถยนต์จากการชนที่มีคู่กรณี ด้วยจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้นที่ 100,000 บาท รวมทั้งยังคงให้ความคุ้มครองผู้โดยสาร ผู้ขับขี่และบุคคลภายนอกตามจำนวนเงินเอาประกันภัย สูงถึง 500,000 บาทต่อคน ไม่ต้องตรวจสภาพรถก่อนทำประกันภัย ซึ่งประกันภัยรถยนต์ประเภท 3+ ไม่จำกัดอายุรถยนต์ อีกทั้ง บริษัท อลิอั้นซ์ อยุธยา ยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ฟรี 24 ชั่วโมงด้วย

ความคุ้มครองและผลประโยชน์ที่ได้รับ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

  • คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัย ตามแผนประกันภัย และทุนประกันภัยที่เลือก สำหรับความเสียหายดังต่อไปนี้
    – ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยกรณีชนกับ ยานพาหนะทางบก
  • คุ้มครองผู้ขับขี่และผู้โดยสารภายในรถที่เอาประกันภัย สำหรับ
    – อุบัติเหตุส่วนบุคคล
    – ค่ารักษาพยาบาล
    – การประกันตัวผู้ขับขี่
  • ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
    – ความรับผิดต่อชีวิต
    – ความรับผิดต่อทรัพย์สิน

  นอกจากบริการที่ได้รับเวลาเกิดเหตุแล้ว ทางอลิอันซ์ อยุธยายังมีบริการเสริมที่เรียกว่า บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งได้รับการดูแลทั้งในประกันรถยนต์ชั้น 2+ และประกันรถยนต์ชั้น 3+ อีกด้วย ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่

วิธีปฏิบัติเมื่อเราต้องขับรถฝ่าน้ำท่วม มีวิธีการอย่างไร? ประกันรถยนต์ น้ำท่วม ประกันภัยดีดี มีคำตอบ

วิธีปฏิบัติเมื่อเราจำเป็นต้องขับรถฝ่าน้ำท่วม

แต่ถ้ามันสุดวิสัยจริงๆ ยังไงก็ต้องขับฝ่าน้ำท่วมไปให้ได้ แล้วจะขับรถยนต์อย่างไรเพื่อเลี่ยงอาการเครื่องดับนั้น ก็เริ่มจาก
1. ตั้งสติก่อน วางแผนดีๆ ว่าควรขับได้แค่ไหน
2. สังเกตความสูงของระดับน้ำโดยดูจากหลักถนนหรือเสาไฟฟ้าข้างทางเทียบกับความสูงของรถเราเรา ถ้าดูแล้วน่าจะรอดและจะขับต่อไป ให้ทำตามข้อต่อไป
3. ปิดแอร์เลย จังหวะนั้นไม่น่าร้อน มือไม้น่าจะเย็นเฉียบแทน เพราะถ้าเปิดแอร์โอกาสที่รถจะดับมีสูงมาก
4. ปรับมาใช้เกียร์ต่ำ รถเกียร์กระปุกคือเกียร์ 1 หรือ 2 ถ้าเป็นรถเกียร์ออโต้ก็ให้ใช้เกียร์ L ขับช้าๆ เพราะน้ำท่วมขนาดนั้นศักยภาพการยึดเกาะของยางไม่ดีนัก
5. อย่าเร่งเครื่องยนต์ให้รอบสูงเด็ดขาดเพื่อป้องกันน้ำเข้าห้องเครื่อง ขับแบบนี้จนกว่าจะผ่านน้ำท่วมไปได้
6. เมื่อผ่านจุดที่ท่วมมาแล้วอย่าเพิ่งดับเครื่องยนต์ ให้รอซักพักจนไม่มีน้ำค้างอยู่ที่ท่อไอเสียแล้วค่อยดับเป็นอันใช้ได้

สิ่งที่ต้องรู้ ประกันรถยนต์ น้ำท่วม  กรณีเครื่องดับกลางน้ำ ต้องทำอย่างไร?

เครื่องดับกลางน้ำท่วม ทำอย่างไร?

แม้ในที่สุด รถเราก็ดับแช่น้ำอยู่ ก่อนอื่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาบริษัทประกันรถยนต์ก่อนเพื่อตรวจสอบดูว่ากรมธรรม์ของเราเป็นประเภทไหน? ครอบคลุมความเสียหายจากภัยธรรมชาติหรือเปล่า? แล้วรอพนักงานเคลมประกันมา เค้าจะประสานงานเรื่องรถยก รถลาก
คำแนะนำดีๆ ที่มีประโยชน์แบบนี้ที่ ประกันภัยดีดี ขอแนะนำให้ทุกท่าน เพราะอยากให้เห็นถึงความสำคัญของการทำประกันรถยนต์และเราอยากให้ทุกท่าน เลือกทำประกันรถที่คุ้มค่าแก่การใช้งานให้มากที่สุด (และที่สำคัญเราต้องทำอยู่แล้วทุกปี) ประกันน้ำท่วม pantip ถ้ามีคำถามหรือเหตุการณ์ที่ไม่แน่ใจเรื่องของประกันรถสามารถติดต่อได้ ที่นี่

  • ถ้ารถโดนน้ำท่วม ให้โทรประกันแล้วรอเจ้าหน้าที่มาประเมิณความเสียหาย
  • ถ้าเจอขับรถเจอน้ำท่วมสูง ให้หาเส้นทางอื่น พยายามอย่าขับรถลุยน้ำ
  • ถ้าจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ ตั้งสติ ปิดแอร์ แล้วขับช้าๆ ใช้เกียร์ต่ำ
  • ถ้าเครื่องดับกลางน้ำท่วม อย่าสตาร์ทเครื่องให้น้ำเข้ามากยิ่งขึ้น โทรหาประกันเพื่อรอความช่วยเหลือดีที่สุด
ประกันรถยนต์ น้ำท่วม

ข้อควรปฏิบัติ ขับรถอย่างปลอดภัย ประกันภัยรถยนต์ น้ำท่วม ไม่ให้รถพังควรป้องกันอย่างไร?

ในช่วงฤดูฝนนี้ จะมีฝนตกลงทุกวัน อยู่เสมอ ถ้าหากท่านที่กำลังขับรถอยู่ แล้วฝนตกลงมาจะต้องเกิดปัญหาแน่นอน   ประกันภัยดีดี ขอแนะนำวิธีการรับมือในช่วงหน้าฝน ให้ขับขี่อย่างปลอดภัย และเคล็ดลับดีๆ ระหว่างขับรถลุยน้ำท่วมกัน

  • ลดความเร็วลง ในช่วงฝนตก ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะถนนลื่นมากกว่าปกติ ควรลดความเร็วในการขับรถลง ไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • เปิดไฟหน้าและหลังแม้จะขับรถในช่วงกลางวัน แต่ก็ต้องเปิดไฟส่องสว่างไว้เสมอ เพราะจะทำให้รถคันอื่นมองเห็นรถของเราได้ง่าย และเราที่เป็นคนขับยังมองเห็นได้ดีขึ้นด้วย
  • เว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้า เพราะเมื่อฝนตกลงมา จะทำให้ทัศนวิสัยแย่ลงและถนนลื่น ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้มีระยะเบรกหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด
  • จอดพัก เมื่อฝนตกหนักหากฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง จนมองไม่เห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน ควรหาที่ปลอดภัยไว้จอดรถพัก เสียเวลาเพิ่มนิดหน่อยแต่ดีกว่าเกิดอุบัติเหตุแน่นอน
  • มีประกันภัยไว้ สบายใจกว่า การขับรถในขณะฝนตกย่อมมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติ เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดขึ้น แต่รถของเรามีประกันภัยไว้คุ้มครอง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น หากท่านใดยังไม่มีประกันภัยรถยนต์ สามารถมาทำประกันรถยนต์ ได้ ติดต่อเรา

ข้อควรปฏิบัติกรณีขับรถลุยน้ำท่วม

1.ประเมินระดับน้ำก่อนว่ามีความลึกขนาดไหน

พอที่จะขับรถยนต์ฝ่าไปได้ไหม สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจเพราะไม่อย่างนั้นเครื่องยนต์อาจได้รับความเสียหายได้ หากระดับน้ำสูงถึงระดับฟุตบาท สำหรับรถเก๋งน้ำอาจไหลเข้าไปในตัวรถได้ สิ่งที่ตามมานอกจากรถอาจขึ้นสนิมแล้ว ความชื้น เชื้อรา ก็อาจเกิดได้ ดังนั้นหากไม่มั่นใจก็ไม่ควรขับรถลุยไปจะดีกว่า

2.หากตัดสินใจขับลุยน้ำมาต้องขับรถอย่างช้าๆ เรื่อยๆ

ไม่ควรเร่งเครื่องเพื่อไม่ให้น้ำเข้าสู่ระบบจุดระเบิด เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ดับ และต้องปิดระบบหล่อเย็นป้องกันมอเตอร์พัง

3.เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควร

และเมื่อมีรถคันอื่นสวนทางมาก็ต้องลดความเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ระลอกน้ำเข้ามาในเครื่องยนต์ ทำให้เสียหายได้

4.เมื่อผ่านการขับรถลุยน้ำมาแล้ว ควรไล่ความชื้นออกจากระบบเบรก

ด้วยการแตะเบรกเบาๆในขณะขับ แต่ต้องดูจังหวะด้วยหากมีรถขับตามหลังมา

การขับรถฝ่าน้ำท่วมขังต้องระมัดระวังเพราะบางทีถนนอาจจะมีหลุมบ่อ หรือพวกเศษขยะ ตะปู ที่ลอยมาตกค้างอยู่โดยที่เราไม่ทันสังเกตอาจทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยหากมีทางเลี่ยงน้ำท่วมขังได้ก็ควรเลี่ยงเส้นทางนี้ 

นอกจากน้ำท่วมแล้ว ฝนตกใหม่ก็ยังทำให้ถนนลื่น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของอุบัติเหตุและการลื่นไถลของรถ เพราะน้ำจะไปคั่นระหว่างหน้ายางกับพื้นถนนเสมือนวิ่งอยู่บนน้ำแทนที่จะเป็นพื้นถนนตามสภาพอากาศปกติ และเศษฝุ่นเศษดิน คราบน้ำมันที่กระจายอยู่บนท้องถนนมารวมตัวกันกับน้ำ ทำให้พื้นถนนเป็นเสมือนโคลน และยังมีสาเหตุอื่นๆ ในการขับขี่ที่อาจทำให้เกิดรถลื่นไถล

การขับขี่ที่อาจทำให้รถลื่นไถล

  • การเบรกรถอย่างกะทันหันขณะขับรถด้วยความเร็วสูง
  • การขับรถเร็วบนถนนที่ผิวการจราจรเปียกและลื่น(รวมถึงคราบน้ำมัน)
  • การหักพวงมาลัยอย่างรุนแรงในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง
  • การเบรกรถในทางโค้งหรือวงเลี้ยง
  • การเบรก หรือหักพวงมาลัยเลี้ยวพร้อมกัน
  • การเหยียบคลัตช์ขณะเข้าโค้งหรือเลี้ยว
  • การใช้เบรกมืออย่างกะทันหันขณะรถมีความเร็ว

โดยคุณสามารถรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้ หากรู้สึกว่ารถลื่นไถลให้ถอนคันเร่งและหักพวงมาลัยไปในทิศทางเดียวกับรถที่ไถล เมื่อรถตั้งลำได้แล้วค่อยบังคับพวงมาลัยคืนให้ตรง อย่าเหยียบเบรกในระหว่างที่รถกำลังลื่นไถลเพราะอาจทำให้รถเกิดพลิกคว่ำได้

สรุป

สำหรับท่าน ที่กำลังมองหา ประกันรถยนต์ น้ำท่วม  ข้อมูลข้างต้นนั้นเป็นเพียงภาพรวมของประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 คุ้มครองน้ำท่วม ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทประกัน แต่ละแบบที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามผู้ที่ต้องการทำประกันภัยรถยนต์สามารถเลือกแบบประกันที่เหมาะกับการใช้งาน หรือความเสี่ยงที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมเมื่อต้องเจอเหตุการณ์ในอนาคต

เคลมประกันอย่างไร? ถ้า รถน้ำท่วม ใช้ได้ไหม แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำภายหลังน้ำลดก็ยังมีให้ต้องจัดการอีกมากมาย ทั้งการดูแลซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย การจัดการที่ดิน เรือกสวนไร่นา รวมไปถึงรถยนต์ที่จมน้ำเสียหาย แล้วจะมีวิธีเคลมความเสียหายกับบริษัทประกันได้อย่างไร 

การทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้รถยนต์ของท่าน แม้จะเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะรถยนต์ที่จมน้ำอาจนำกลับมาใช้ได้ไม่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจได้ว่า รถยนต์ของท่านจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ อย่างไรก็ตาม ควรหาทางป้องกันรถยนต์ของท่านก่อนในเบื้องต้น ด้วยการนำไปไว้ในที่ปลอดภัยและน้ำท่วมไม่ถึง แม้อาจจะเสี่ยงต่อการถูกเฉี่ยวชนหรือการโจรกรรมอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีโอกาสซ่อมแซมนำกลับมาใช้ใหม่ หรืออาจได้รับเงินชดเชยเต็มจำนวนทุนประกันติดต่อสอบถามได้ ที่นี่

 

คำถามที่พบบ่อย

ประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองน้ำท่วม

  • หากใครที่ทำประกันชั้น 1 ก็สบายใจได้เลยว่าได้รับความคุ้มครองเมื่อน้ำท่วมรถยนต์อย่างแน่นอน เพราะประกันชั้น 1 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด (เบี้ยประกันก็จะสูงตามแบบประกัน)
  • ประกันประเภท 5 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า ประกันชั้น 2 พลัส( 2+) หรือประกันชั้น 3 พลัส(3+) นั่นเอง โดยประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้จะให้ความคุ้มครองน้ำท่วมเฉพาะบางแพ็คเกจเท่านั้น หากท่านอยากได้ความคุ้มครองน้ำท่วมเมื่อทำประกันภัย ขอแนะนำว่าให้แจ้งพนักงานขาย หรือสอบถามพนักงานขายว่าประกันภัยรถที่ท่านกำลังสนใจมีความคุ้มครองน้ำท่วมหรือไม่? ส่วนประกันชั้น 3 ธรรมดาจะไม่มีความคุ้มครองน้ำท่วม

บริษัทประกันจะจ่ายค่าความเสียหายอย่างไร เมื่อน้ำท่วมรถยนต์

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณ บริษัทประกันภัยจะแบ่งความเสียหายออกเป็น 2 ส่วน คือ

กรณีรถยนต์เสียหายอย่างสิ้นเชิง (Total Loss) คือ ส่วนใหญ่บริษัทประกันภัย จะประเมินมูลค่าความเสียหายที่ 70% ของมูลค่ารถคันนั้น ซึ่งหากพิจารณาจากความเสียหาย ในกรณีนี้คือ รถจมน้ำท่วมมิดคัน หรือ ท่วมเกินช่วงคอนโซลหน้า ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งห้องโดยสาร
หากบริษัทประกันภัยพิจารณาแล้วว่า รถยนต์คันดังกล่าว ไม่คุ้มที่จะซ่อมให้กลับมาสภาพเดิมได้ ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์ ก็จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ตามทุนประกันภัยที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเจ้าของรถหรือผู้รับผลประโยชน์ ต้องโอนกรรมสิทธิ์ (คืนซากรถ) ให้กับบริษัทประกันภัย และกรมธรรม์ฉบับดังกล่าวก็ถือเป็นอันสิ้นสุดความคุ้มครองไป

กรณีรถยนต์เสียหายบางส่วน (Partial Loss) คือ รถยนต์ไม่เสียหายมากนัก สามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้ตามเดิม บริษัทประกันภัยก็จะพิจารณาให้เป็นลักษณะความเสียหายบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของบริษัทประกันภัยด้วย

การทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้รถยนต์ของท่าน แม้จะเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะรถยนต์ที่จมน้ำอาจนำกลับมาใช้ได้ไม่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจได้ว่า รถยนต์ของท่านจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ อย่างไรก็ตาม ควรหาทางป้องกันรถยนต์ของท่านก่อนในเบื้องต้น ด้วยการนำไปไว้ในที่ปลอดภัยและน้ำท่วมไม่ถึง แม้อาจจะเสี่ยงต่อการถูกเฉี่ยวชนหรือการโจรกรรมอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีโอกาสซ่อมแซมนำกลับมาใช้ใหม่ หรืออาจได้รับเงินชดเชยเต็มจำนวนทุนประกัน 

  • ขั้นตอนที่ 1 ดูที่กรมธรรม์ก่อน เงื่อนไขกรมธรรม์ของประกันที่เราทำครอบคลุมว่า คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติหรือเปล่า?   

          - ประกันชั้น 1 คุ้มครองแน่นอน

          - ประกันชั้น 2+,3+ (คุ้มครองก็ต่อเมื่อซื้อเพิ่มเติมให้ครอบคลุมภัยธรรมชาติ)

          - ประกันชั้น 3 ไม่คุ้มครองกรณีนี้

  • ขั้นตอนที่ 2 เตรียมรูปหลักฐานความเสียหาย ทั้งขณะน้ำท่วมรถ และหลังน้ำท่วม มีร่องรอยความเสียหายอะไรบ้าง พร้อมจดบันทึกสถานที่เกิดเหตุน้ำท่วม
  • ขั้นตอนที่ 3 โทรแจ้งบริษัทประกัน เพื่อนัดเวลาตรวจสอบความเสียหายรถ

          เพื่อความอุ่นใจในทุกสถานการณ์ มีประกันไว้ เพิ่มความสบายใจไร้กังวล และสะดวกรวดเร็วที่สุด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่